Generalism คนที่ทำได้หลายอย่าง แต่ไม่จำเป็นต้องเก่งที่สุดสักด้าน

Generalism หรืออีกชื่อที่นิยมเรียกกันคือ Jack of All Trades, Master of None

Generalism คือการเรียนรู้ทักษะหลายๆอย่าง ที่ตอบโจทย์ชีวิตเราGeneralist เชื่อว่าความสำเร็จไม่ใช่สิ่งที่เราต้องตามหา แต่เป็นสิ่งที่เราต้องสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเอง! ยกตัวอย่างเช่นความสุข ความสุขก็สามารถเป็นทักษะที่เราสามารถสร้างมันขึ้นมาได้เช่นกัน

ทำไมถึงต้องก้าวมาเป็น Generalist?

Pat Flynn ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “How to be better at (almost) everything (2019)”

Pat Flynn คือใคร? ตอนเอิร์ธอ่านบทความนี้ก็สงสัยเหมือนกัน ไม่เคยได้ยินจากไหนเลย เพราะตอนที่เราเลือกอ่านบทความนี้ก็เพราะกำลังสนในเรื่อง Generalist อย่างเดียว Pat Flynn คือ True Generalist ที่เป็นหลายอาชีพอย่างเช่น เทรนเนอร์, นักเขียน และเป็นเจ้าของธุรกิจที่อายุยังน้อย และสามารถสร้างหลายรายได้ หลายร้อยล้านทั้งๆที่ตัว Pat เองเก่งไม่สุดสักอย่าง

ตอนสมัย Pat เรียนอยู่ชั้นมัธยม Pat ชื่นชอบในการเล่นกีต้าร์มาก และใฝ่ฝันจะเป็นนักกีตาร์ระดับ Pat ฝึก Solo กีตาร์ทุกวัน วันนึงหลายชั่วโมงจน Pat เองคิดว่าตัวเองเก่งสุดในโรงเรียนแล้ว ซึ่งจริงๆในโรงเรียนมีคนเล่นกีตาร์อยู่ 10 คน

และเพื่อนของ Pat ชื่อ Tom เพื่อนคนนี้เป็นคนที่กีต้าร์ได้เหมือนกับ Pat แต่เล่นได้แค่พื้นฐาน แต่ก็สามารถนำมาเล่นเป็นเพลงได้และที่สำคัญ Tom สามารถร้องเพลงร่วมกับการดีดกีตาร์ที่ทำได้แต่พื้นฐานแต่ Tom ก็ได้รับคำชมจากเพื่อนๆที่โรงเรียนมากมาย เหตุการณ์นี้ทำให้รู้ว่านี่คือ

  1. การร้องเพลง + เล่นกีต้าร์ คือการสร้าง Skill stack แบบ Generalist ที่เราทั้งสองทักษะมารวมกัน ถึงจะเก่งไม่สุดสักอย่างแต่ก็ได้ผลตอบรับดีกว่าคนที่ดีดกีตาร์เป็นอย่างเดียว
  2. ถ้าเป็น Specialist ไปเรื่อยๆ เราจะเริ่มคุยกับคนที่มีทักษะธรรมดาไม่ได้แล้ว (ตอนผมอ่านข้อนี้ตอนแรก รู้สึกจริงมากๆ)
  3. การเป็น Specialist เป็นสิ่งที่เรายากกว่าที่คิด และคิดว่าถ้าลงลึกกับทักษะนั้นๆ ไปเรื่อยๆ ตัวเราจะไม่มีความสุข (เรื่องนี้เอิร์ธเห็นด้วย) เพราะว่าโลกนี้มีคนที่เก่งกว่าเราเสมอ ยกตัวอย่างเช่น Pat คิดว่าตัวเองเล่นกีต้าร์เก่งสุดในโรงเรียน แต่ในแท้ที่จริงแล้วพอ Pat เข้ามหาวิทยาลัย Pat ค้นพบว่ามีคนเล่นกีต้าร์เก่งกว่า Pat อีกมากจนทำให้ Skill การเล่นกีต้าร์ของ Pat ดูธรรมดาไปเลย

และการเป็น Specialist ยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ฐานะการเงินของครอบครัวที่จะส่งเราเรียนสูงๆ, โอกาสทางสังคม และที่สำคัญที่สุดคือ DNA ที่เราได้มาจากบรรพบุรุษ (ข้อนี้สำคัญมากๆ)

Generalist ในทางตรงกันข้าม เราไม่ต้องบ้านรวยเหมือนคนอื่น ไม่ต้องมี DNA ที่ดีจากบรรพบุรุษ จะให้พูดง่ายๆก็คือ ใครๆก็สามารถเป็น Generalist ได้และสามารถทำในสิ่งที่ชอบได้ และที่สำคัญ เราก็จะมีความสุขไปพร้อมๆกันได้ด้วย

Generalist เป็นมากกว่าแค่ปรัชญาการเรียนรู้ เพราะมันช่วยให้เราค้นพบความหมายของชีวิต รวมไปถึงอิสรภาพและความสุขแบบที่เราต้องการ (เขียนมาถึงตรง เอิร์ธอึ้งกับประโยคนี้มากๆ ตอนที่เอิร์ธอ่านครั้งแรก)

อิสรภาพและความสุข

Thomas Aquinas ผู้ให้กำเนิด Freedom of Excellence หัวใจของ Generalism

Libertarian เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนควรได้รับอิสระและการตัดสินใจในทุกรูปแบบโดยไม่ถูกบังคับและแทรกแซงใดๆ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Freedom of Indifference

Freedom of Indifference คือการให้เสรีภาพกับมนุษย์ที่จะเลือกทำอะไรก็ได้ตามใจชอบแต่ต้องอยู่ในภายใต้ระเบียบสังคม คำถามคือชีวิตมันจะมีความสุขจริงๆหรือป่าว? ถ้าให้ตอบเร็วๆก็น่าจะจริงนะ เราสามารถตื่นทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ แต่อันที่จริงแล้วคำตอบคือไม่ครับ อ่านมาถึงตรงทุกคนงงใช่ไหม ใช่ครับเอิร์ธก็งง 555+

ความจริงแล้วการที่เรามีสิทธิ์เลือกจะทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการอาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป เพราะหลายๆครั้งตอนที่เราอยากทำสิ่งที่ต้องการเราอาจทำสิ่งไม่ดี เช่น การนอนดึก รู้ว่ามันไม่ดีต่อร่างกาย แต่เราก็เลือกที่จะนอนดึก ทุกคนเห็นภาพไหมครับ ซึ่งทุกวันนี้เอิร์ธก็เป็นบ่อยๆเหมือนกัน 555+

Thomas Aquinas จึงเสนอแนวทางอิสระ ที่จะช่วยเติมเต็มสมการความสุขกับมนุษย์และเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเป็น Generalist คือ Freedom of Excellence

Freedom of Excellence คือการ Say YES กับกิจกรรมที่ช่วยพัฒนา Skill ของเราและ Say No กับกิจกรรมที่พาเราออกห่างจากเป้าหมายชีวิตที่เราตั้งไว้ อย่างเช่น

ถ้าเราอยากสุขภาพดีแข็งแรง เราต้องออกกำลังกายอย่างน้อย 3-5 วันต่ออาทิตย์ กินอาหารที่ปรุงสุกไม่แปรรูป ไม่ใช่เอาเวลาที่เราออกกำลังกายไปทำกิจกรรมที่ส่งผลเสียต่อร่างกายของเราอย่างเช่น กินอาหารที่มีรสจัด, อาหารแปรรูป เป็นต้น

Freedom of Excellence คืออิสรภาพที่เกิดจากการมีข้อจำกัด (Restrictions)

ตัวอย่างเช่น เราจำกัดเวลาดูหนังจาก 2 ชั่วโมงเป็นวันละ 1 ชั่วโมงเพื่อเอาอีก 1 ชั่วโมงมาออกกำลังกายพัฒนาตัวเองในวันนี้เพื่อที่เราจะได้เป็นคนที่อยากเป็นในวันพรุ่งนี้ พูดง่ายๆคือในวันที่เราได้เป็นสิ่งที่อยากเป็น และ สามารถทำสิ่งที่เราอยากทำ

ความสุขคือของรางวัลจากการฝึกฝนของเราอย่างเช่นเราฝึกเขียน Code สมมุติการเขียน Code เป็นสิ่งที่เราอยากทำและฝันอยากเป็น Programmer ความสุขก็คือการที่เราฝึกเขียน Code พัฒนาขึ้นในทุกๆวัน

Aristotle นักปราชญ์ด้าน Generalism เชื่อว่าการเป็นมนุษย์คือการได้รู้ ได้ทำ และได้สร้างสิ่งที่ดี ยิ่งเราทำสิ่งดีๆได้มากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น 

(ประโยคนี้คือเปิดโลกมาก)

Generalism คือปรัชญาแห่งความสุขและการพัฒนาตนเองผ่าน Freedom of Excellence ยิ่งรู้มาก ยิ่งทำมาก จะยิ่งมีความสุขมาก มนุษย์ที่เป็น Generalism นั้นจะเรียนรู้ทักษะต่างๆเพื่อจะให้ตัวเองเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดอย่างที่ใจเค้าต้องการ

Generalism มีหลักการเรียนรู้อย่างไรให้เก่งขึ้นทุกวัน (อันนี้สำคัญมาก) ทุกอย่างเริ่มจากการทำ Skill Stacking

หลักการสำคัญ

Generalist ใช้หลักการ 5 ข้อต่อไปนี้ในการพัฒนาทักษะของตัวเอง

  • Skill Stacking > Specialization
  • Short Term Specialization
  • The Rule of 80 Percent
  • Integration > Isolation
  • Repetition and Resistance

(5 ข้อนี้เอิร์ธถอดมาจาก Blog generalism ของ datarockie หมดเลยนะครับ)

Skill Stacking

Core principle ของ Generalist คือการทำ Skill Stacking เรียนรู้หลายๆทักษะเข้าด้วย ฝึนฝนแต่ละทักษะให้ดี แต่ไม่ถึงกับยอดเยี่ยมที่สุด เรียนเสร็จแล้วเราต้องนำมา Combine Skill ทั้งหมดที่เราเรียนเพื่อที่จะนำมาใช้งานจริงด้วย

Generalist ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนต้องรู้ว่าตัวเองต้องการที่จะเป็นอะไร ยิ่งเจาะจงมากเท่าไหร่ยิ่งดี สมมุติเราอยากจะทำธุรกิจที่ทำด้วยตัวคนเดียว (One person business) เราก็ต้องรู้ว่า Skill ที่เราต้องเรียนมีอะไรบ้าง แล้วเราก็ต้องเรียนทีละ Skill พอเรียนเสร็จ เราก็ต้องนำแต่ละ Skill มาเรียงต่อกัน (Stacking)

Generalist เชื่อว่าการมี Skill stacking ถึงแม้ Skill ของเราจะพัฒนาได้ไม่เต็มที่ แต่จะช่วยให้เราทำงานได้หลากๆอย่างดีกว่าคนที่ชำนาญแค่ Skill เดียว (เอิร์ธเห็นด้วย)

Short Term Specialization

Generalist นั้นจะใช้เทคนิคที่ชื่อ Short Term Specialization เพื่อฝีกฝนและสร้างทักษะใหม่ ทุกคนสงสัยว่ามันคืออะไร ต่างอะไรกับการเรียนรู้แบบ Pure specialist

  1. Short Term Specializtion คือการฝึกฝน Skill เพียง 1-2 Skill จนกว่าเราจะใช้ Skill พวกนั้นได้ดีพอ

2. Specialist ใช้การเรียนแบบ Long Term Specialization เรียกง่ายๆว่าเราจะไปให้ลึกที่สุด และรู้จริงในทักษะนั้นที่สุด แต่ Generalist จะเน้นการเรียนแบบ Short Term Specialization พูดง่ายๆคือจะหมุนวิชาเรียนไปเรื่อยๆ ถ้ารู้สึกว่าเราทำได้ดีในวิชานั้นๆแล้ว ก็จะเปลี่ยนวิชาไปเรียนวิชาอื่นที่เราสนใจ

เทคนิคสำคัญ – Generalist จะใช้เทคนิคที่ชื่อว่า “Surge and Maintain” สมมุติเราเวลาในการฝึกฝน Skill วันละ 2 ชั่วโมงเราจะใช้เวลา 1:40 นาทีไปกับการเรียนรู้ Skill ใหม่ที่เราสนใจในช่วงเวลานั้นๆ (Surge) และจะใช้เวลาอีก 20 นาทีในการทบทวน Skill เก่าที่เราพึ่งเรียนรู้ไปเพื่อที่เราจะได้ทบทวน Skill นั้นๆด้วย (Maintain)

The Rule of 80 Percent

ถ้าถึงจุดสีแดง input 1 ชั่วโมงที่เราใช้ฝึกก็จะได้ additonal output กลับมาน้อยลง

ถ้าเก่งที่สุดในโลกคือ 100% Generalist จะเรียนไม่เกิน 80% ของ Skill นั้นๆ เหตุผลที่ไม่ควรเรียนเกิน 80% ว่าด้วยกฏธรรมชาติที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า  “The Law of Diminishing Returns” เวลาหนึ่งชั่วโมงที่เราใช้ฝึก Skill นั้นๆ จะได้รับผลตอนแทนน้อยลงมากเมื่อผ่านระดับ Optimal(เหมาะสม) ไปแล้ว

Generalist ส่วนถ้าเรียน Skill ผ่านระดับ Optimal ไปแล้วก็จะหมุนไปเรียนวิชาอื่นต่อ

Integration > Isolation

Generalist จะเลือกวิชาเรียนตามเป้าหมายที่เราวางไว้ อย่างเช่นถ้าเราอยากเป็น Programmer ก็ไม่ต้องไปลงเรียนวิชาเคมีให้เสียเวลา

Integration คือการเอา Skill ที่เราเรียนมาทั้งหมดมารวมกัน แล้วทดสอบว่าเราสามารถทำงานตามเป้าหมายที่วางไว้ดีแค่ไหน? แต่ถ้ายังรู้สึกเรายังมีบาง Skill ที่ต้องฝึกเพิ่มเราก็จะต้อง Isolate ออกมาเพื่อฝึกแยกเพื่อที่จะสามารถ Integrate กับ Skill อื่นๆของเราได้ดีพอ

Integration ยังช่วยเช็คด้วยว่าถึงเวลาที่เราจะเรียน Skill ไหนเพิ่มบ้าง ถ้าสมมุติ Skill Stack ที่เราวางไว้สามารถทำงานได้ดีแล้ว แต่มันก็ไม่ถึงเป้าหมายที่เราวางไว้สักที คนที่เป็น Generalist จะรู้เลยว่าเราควรเรียน Skill ใหม่เพิ่มเพื่อเอามา Integate อีกรอบ

Repetition and Resistance

การเรียนรู้และฝึกฝนทุกสิ่งอย่างถูกต้องควรที่จะเรียนรู้ประยุกต์ใช้ Repetition + Resistance

  • Repetition คือการทำซ้ำและทบทวน
  • Resistance คือการเพิ่มแรงต้านให้กับการฝึกฝนของเราให้ยากขึ้นเรื่อยๆ

ถ้าเราฝึกแบบเดิมทุกวันๆ ไม่มีการพัฒนาเพิ่มแรงต้านจะทำให้เราย่ำอยู่กับที่อย่างเช่นเรายกเวท ถ้าเรายกน้ำหนักเท่าเดิมไม่มีการเพิ่มน้ำหนัก กล้ามเนื้อเราก็ไม่พัฒนาขึ้น (ตัวอย่างนี้เห็นภาพชัดมากก เอิร์ธเข้าใจว่าหลายคนติดปัญหานี้เยอะ)

สรุปทั้งหมด

ในที่เอิร์ธไปอ่านมาสรุปว่า Generalist คือแนวทางการพัฒนาตัวเองที่ใช่สำหรับยุคนี้เลย เรียนรู้แบบกว้างๆไปก่อนแล้วค่อย Deep Dive ในเรื่องที่เราสนใจ ทวีคูณทักษะของเราไปเรื่อยๆ (สรุปแบบนี้เอิร์ธเห็นด้วยมากๆ)

สรุปออกมาได้ทั้งหมด 4 ข้อ

  • Generalist มี 5 หลักการที่เอาไว้ฝึกคือ Skill Stacking, Short term specialization, กฏ 80%, Integration, Repetition and Resistance
  • Freedom of Indifference การเป็นคนที่มีสิทธิ์เลือกทำอะไรก็ได้ ไม่ได้แปลว่าเราจะมีความสุข
  • Freedom of Excellence คือหัวใจสำคัญของ Generalism การเป็นมนุษย์คือการได้รู้ ได้ทำ ได้สร้างสิ่งที่ดี(ยิ่งมากยิ่งดีด้วย)
  • Generalist ใช้ชีวิตได้ง่ายกว่า Specialist เพราะเราไม่ต้องแข่งให้เหนือกว่าใคร ความสุขเกิดได้จากการที่เราทำกิจกรรมดีๆที่ช่วยสร้าง Skill ของเรา

“Generalist = True Freedom”

ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ บทความนี้เป็นบทความแรกที่เอิร์ธสรุปมาจาก บทความ how-be-better-almost-everything จาก datarockie อีกทีครับ คิดเห็นอย่างไรมาแชร์กันได้นะครับทุกคน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *